อาวุธของพระพิฆเนศ

อาวุธของพระพิฆเนศ แม้ว่าคนไทยในอดีตจะรู้จักและนับถือเทพเจ้ามากมาย เช่น กวนอิม แม่อุมา พระศิวะ พรหม และพระวิษณุ เป็นต้น แต่เมื่อสองปีที่แล้ว พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่อยู่ข้างหน้าโค้ง เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครมีชื่อเสียงมากไปกว่าพ่อจตุคามรามเทพ เพราะความนิยมของคุณทำให้ปัจจุบัน “ไข้จตุคามรามเทพ” กำลังเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งทำให้คนจำนวนไม่น้อยมีอย่างน้อยหนึ่งรุ่น เพราะแต่ละรุ่นชื่อเชิญชวนให้สะสม ไม่ว่าจะเป็นรุ่นมหาเศรษฐี รุ่น ทวีทรัพย์ รุ่นรวยสุข ฯลฯ เรียกได้ว่ามีแต่ได้เท่านั้น จะรวยจริงหรือไม่ก็อุ่นใจ
แต่สำหรับปีหนูหรือปีหนู เทพที่ได้รับความนิยมและต้องบูชาเป็นพิเศษคือพระพิฆเนศ หลายคนคงสงสัยว่าทำไม? เพราะอันที่จริงแล้วพระพิฆเนศนั้นมีชื่อเสียงในฐานะผู้เป็นอมตะที่ยิ่งใหญ่ชั่วนิรันดร์ เป็นเทพที่ดีที่สุดที่คนบูชามาโดยตลอด แล้วทำไมปีนี้ต้องบูชาเป็นพิเศษ? คำตอบคือเพราะคุณเป็นเทพ “หนู” เป็นพาหนะ คนจึงเชื่อว่าถ้าบูชาเขา สามารถช่วย “หนู” ซึ่งเป็นลูกน้องและเป็นสัญลักษณ์ของปี 2551 ไม่ให้ไปอาละวาด มันทำให้เขาเดือดร้อนและยังนำความโชคดีมาให้

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำตำนานและเรื่องราวเกี่ยวกับเทพองค์นี้มาเล่าสู่กันฟังดังนี้
พระพิฆเนศหรือในบางแห่งเขียนว่าพระพิฆเนศหรือพระพิฆเนศเป็นเทพองค์หนึ่งในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูที่คนไทยรู้จักกันดี ด้วยความเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งศิลปะและความรู้และทุกความสำเร็จหากมีคนบูชาคุณ จะช่วยขจัดอุปสรรค ชนรวมไปถึงอำนวยความสะดวกให้ทุกธุรกิจประสบความสำเร็จด้วย คนจึงเคารพก่อนทำอะไร

สำหรับร่างกายของคุณ คนส่วนใหญ่คงคุ้นเคยกันดี เพราะท่านจะมีหุ่นเชิดเหมือนพระในประเทศเรา เป็นหุ่นที่มีกระจุก อวบ และแทนที่จะมีหัวเป็นมนุษย์ กลับมีเศียรเป็นช้าง สี่ หก บ้าง แปด แล้วแต่ว่าที่ไหน เขามาจาก ซึ่งตามหลักปรัชญาแล้ว ทุกส่วนของร่างกายมีความหมายที่เป็นมงคลคือหัวช้าง จะเป็นหัวโต หมายถึง จิตที่เปี่ยมด้วยปัญญาอันเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษา หรือพูดง่ายๆ ว่า ฟังให้มาก รู้มาก เกี่ยวกับงาที่มีด้านเดียวและอีกข้างหัก ก็หมายความว่าคน จะต้องอยู่ระหว่างถูกและผิดเสมอ จึงควรรู้จักแยกแยะ เข้าใจความแตกต่าง เหมือนงวงช้างอยู่ตรงกลาง ซึ่งใช้ชั่งการกระทำหรือหาของดีโดยใช้ปัญญาเลือกว่าชั่ว-ดี-ชั่ว และหนูพาหนะที่มันขี่แสดงถึงความปรารถนาของมนุษย์ อาจจะเข้าใจยากสักหน่อย เพราะเป็นแนวคิดเชิงปรัชญา เลยต้องคิดให้ลึกกว่าปกติ

ความหมายบางประการ อาวุธของพระพิฆเนศ

อาวุธของพระพิฆเนศ พระพิฆเนศ เทพแห่งพราหมณ์ เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ขอพรเทพเจ้าแห่งศิลปะและวิทยาศาสตร์ ที่ไม่เพียงแต่ผู้ที่เชื่อในศาสนาพราหมณ์เท่านั้นที่จะเคารพ แต่เราชาวพุทธยังบูชาองค์พระพิฆเนศเป็นอย่างมาก วันนี้ขอนำเสนอเรื่อง “พระพิฆเนศ 32 ปาง”

  1. สังขะ (หอยสังข์) หมายถึง พรแห่งเกียรติยศ เกียรติยศ
  2. อังกูษะ (ปารฏัก) แปลว่า โชคดีในวัยชรา
  3. ปารชู (ขวาน) หมายถึง การกำจัดสิ่งกีดขวางที่ยาวออกไป
  4. มหาอำมาตย์ (กับดัก) หมายถึง ใช้มัดคนทำผิดศีลธรรมให้เป็นคนดี
  5. วัชรตรีศูล (Lighting Bolt) หมายถึง ผู้เป็นผู้ปกครองโลกทั้ง ๓ ผู้ให้โชคลาภในอำนาจและบารมี
  6. จักระ (โล่ ดิสก์) เป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ (หมายถึงจิตใจ) และดวงจันทร์ (แสดงถึงความรู้สึก) ซึ่งแสดงถึงสติปัญญาของพระเจ้า ใช้ป้องกันภยันตราย สิ่งชั่วร้าย และสิ่งอัปมงคลต่างๆ
  7. โมทากะพัตรา (ต้มหวาน) แปลว่า เจริญพันธุ์
  8. กาดา (ฝั่ง)
  9. Chhuri (ดาบคู่) ใช้เพื่อเอาชนะอุปสรรค
  10. Rudraksha Mala (ลูกประคำ) ใช้เพื่ออธิษฐานต่อพระเจ้า และนั่งสมาธิเป็นสิ่งที่พระพรหมให้

พระพิฆเนศรูปกายของท่าน

สำหรับร่างกายของคุณ คนส่วนใหญ่คงคุ้นเคยกันดี เพราะท่านจะมีหุ่นเชิดเหมือนพระในประเทศเรา เป็นหุ่นที่มีกระจุก อวบ และแทนที่จะมีหัวเป็นมนุษย์ กลับมีเศียรเป็นช้าง สี่ หก บ้าง แปด แล้วแต่ว่าที่ไหน เขามาจาก ในทางปรัชญา ทุกส่วนของร่างกายมีความหมายที่เป็นมงคล คือ หัวช้าง จะเป็นหัวโต หมายถึง จิตที่เปี่ยมด้วยปัญญาอันเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษา หรือพูดง่ายๆ ว่า ฟังให้มาก รู้มาก เกี่ยวกับงาที่มีด้านเดียวและอีกข้างหัก ก็หมายความว่าคน จะต้องอยู่ระหว่างถูกและผิดเสมอ จึงควรรู้จักแยกแยะ เข้าใจความแตกต่าง เหมือนงวงช้างอยู่ตรงกลาง ซึ่งใช้ชั่งการกระทำหรือหาของดีโดยใช้ปัญญาเลือกว่าชั่ว-ดี-ชั่ว และหนูพาหนะที่มันขี่แสดงถึงความปรารถนาของมนุษย์ อาจจะเข้าใจยากสักหน่อย เพราะเป็นแนวคิดเชิงปรัชญา เลยต้องคิดให้ลึกกว่าปกติ อาวุธของพระพิฆเนศโดยทั่วไปเราจะเห็นภาพพระพิฆเนศที่มี 1 เศียร 4 แขน แต่จริงๆ แล้วท่านมีหลายอิริยาบถ บางประเทศเช่นอินเดียหรือเนปาลพระพิฆเนศจะมีถึง 5 หัวในขณะที่แขนหรือมือจะมีตั้งแต่ 2 แขนถึง 10 หรือมากกว่าโดยแต่ละมือหรือมือถือสิ่งของต่างกัน มีขนม ผลไม้ อาวุธ และของมงคลต่างๆ เช่น โมทากะ (ข้าวหุงผสมน้ำตาล) ทับทิม ลูกหว้า งาหัก ขวาน ตรีศูล หอยสังข์ แก้ว จินดามณี เป็นต้น ส่วนเรื่องท่าทาง เดิมส่วนใหญ่จะอยู่ใน แบบฟอร์มตรง ต่อมาพัฒนาเป็นท่านั่ง ซึ่งมี 4 ลักษณะ คือ 1. ยกเข่าข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งงอและพับบนอาสนะ (ที่นั่ง) 2. ท่านั่งไขว้ขา 3. นั่งห้อยขาทั้งสองข้าง และอีกข้างพับทับอาสนะ 4. ท่านั่งพับขาทั้งสองข้างหน้า ฝ่าเท้าทั้งสองข้างชิดกัน
ที่มีจำนวนหัวและสัญลักษณ์อยู่ในมือตลอดจนกิริยาที่ปรากฏในอิริยาบถที่ไม่เหมือนกันเพราะความเชื่อที่ว่า ปางทุกอันให้คนละอันกัน ตัวอย่างเช่น

  • Pang Pal Ganesha จะเป็นภาพพระพิฆเนศในวัยเด็ก อยู่ในท่าคลานหรือแบบเด็ก ถ้าโตขึ้นมาหน่อยจะเป็นรูปนั่งไขว่ห้างบนดอกบัวมี 4 แขนอุ้มโมดากะ กล้วย และหูข้าว ซึ่งหมายถึงกำลังของลูกใน ครอบครัวจึงนิยมเลี้ยงกันในบ้านที่มีเด็กเล็กและเด็กวัยเรียน
  • ปาง นรดา พระพิฆเนศ เป็นท่ายืนถือคัมภีร์ หม้อ ไม้เท้า และร่ม หมายถึง การเดินทางไกลเพื่อศึกษาศึก ณ จุดนี้เขากล่าวว่าเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาชีพเป็นครู
  • ปางมหาวีระพระพิฆเนศ เป็นท่าที่มีมือพิเศษมาก ประมาณ 12-16 มือ และแต่ละมือมีอาวุธต่างกัน เช่น กระบอง หอก ตรีศูล ธนู ฯลฯ ท่านี้เป็นท่าต่อสู้เพื่อปราบศัตรู เหมาะสำหรับทหาร ตำรวจ และข้าราชการ
  • ปางสัมปทานพระพิฆเนศ เป็นท่าที่เรามักเห็นกัน คือ มี 4 มือติดอาวุธ เช่น ขวานหรือตรีศูล ซึ่งเขาเคยทำลายความชั่วร้ายและขับไล่สิ่งกีดขวาง อีกฝ่ายหนึ่งถือกับดักซึ่งเป็นกับดักที่เขาใช้ชักนำผู้คนให้เดินตามรอยเท้าของเขาหรือขับไล่ศัตรูออกไป มือล่างถือโมดากะ พระองค์ทรงรักษาไว้เป็นบำเหน็จแก่บรรดาผู้เดินตามรอยพระบาทของพระองค์ ขวาล่างทำหน้าที่เป็นพระพรซึ่งหมายความว่าพระองค์ประทานความสุขและความสำเร็จแก่สาวกของพระองค์ หรือบางแห่งที่มีงาหักอยู่

เห็นพระจันทร์เป็นเสี้ยวอยู่บนท้องฟ้าแทบทุกค่ำคืน

ตำนานแรกเล่าว่าวันหนึ่งพระนางปารวตีหรือเจ้าแม่อุมา ภริยาของพระศิวะได้อาบน้ำ อาบน้ำ และถูกพัดพาไป เขาจำได้ว่าเพื่อนของเขาแนะนำให้เขาหาคนรับใช้ของตัวเอง พวกเขาจะไม่ต้องนั่งบน แต่บริวารของชายคนนั้นคิดอย่างนั้น เธอจึงนำเหงื่อเพื่อสร้างชายหนุ่มรูปงาม และสั่งให้เฝ้าประตู อย่าให้ใครมาบุกรุกถ้าไม่อนุญาต ชายหนุ่มที่ทำหน้าที่คุ้มกันอย่างดีเยี่ยม จนวันหนึ่งพระศิวะประสูติหายไปปาราวตีจึงมาพบชายหนุ่มที่เขาไม่รู้จัก พ่อ. ขัดขวางไม่ให้เขาได้พบกับพระศิวะพระมารดาของเขาโกรธ และอาจรวมกับลมอิจฉาริษยาเพราะจู่ๆ ก็มีชายหนุ่มรูปงามมามองที่หน้าห้องภรรยา แถมยังห้ามเข้าอีกอาวุธของพระพิฆเนศ

ดังนั้นเขาจึงโยนตรีศูลตัดหัวพ่อบ้านหนุ่มจนตาย ทันทีที่เธอรู้เรื่องปาราวตี เธอก็โกรธสามีของเธอมาก (เป็นพื้นฐานในการสังหารพระราชวงศ์ที่พระนางทำกับพระหัตถ์เองและถือเป็นบุตรที่ตายไปแล้ว) โดยไม่ถามถึงเหตุนั้น จึงเกิดศึกใหญ่ขึ้นระหว่างทวยเทพและทวยเทพในสวรรค์ เผาฤาษี เขาควรทำหน้าที่เป็นทูตในการเจรจาหย่าร้าง ฝ่ายหญิงตกลง แต่มีเงื่อนไขว่าบุตรธิดาของราชินีจะฟื้นคืนพระชนม์ พระศิวะต้องระดมเทพเพื่อค้นหาหัวของสิ่งมีชีวิต สิ่งแรกที่แม้แต่ลูกชายของเขาพบ ดูเหมือนว่าหัวช้างงาช้างหนึ่งตัวได้รับการฟื้นฟูแล้ว ดังนั้นแม้ว่าพระพิฆเนศจะตื่นขึ้นและในยามราตรียังมีพระพิฆเนศซึ่งรู้ว่าพระอิศวรเป็นพระบิดา พระองค์ก็เสด็จตรงไปทูลขอการอภัยโทษ เพราะไม่รู้ว่าพระศิวะชอบใจมากเพียงใด จึงได้พระราชทานพระพิฆเนศให้มีอำนาจเหนือเทพทั้งปวง จึงได้ชื่อว่าพระพิฆเนศ หรือ กะปัตติ หมายถึง ผู้นำสูงสุดในกลุ่มเทพ

ตำนานที่สองกล่าวว่าครั้งหนึ่งพระศิวะและพระมารดาอุมาเสด็จไปยังเทือกเขาหิมาลัย และพบช้างผนึกกันถือกำเนิด กามราคะ พระอิศวรถูกแปรสภาพเป็นช้าง ส่วนเจ้าแม่ที่แปลงร่างเป็นช้างหัก เข้าร่วมชมรมจนพระพิฆเนศเป็นพระพิฆเนศ
ตำนานที่สามกล่าวว่าปีศาจและรักษะบูชาพระศิวะจนได้รับพรมากมาย ทำให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด พระอินทร์จึงต้องนำเทพมาเฝ้าพระศิวะ ขอให้เขาสร้างนางฟ้าแห่งความหงุดหงิด เพื่อป้องกันไม่ให้ยักษ์อธิษฐานขอพรสำเร็จ พระอิศวรจึงแยกส่วนของร่างกายของเขาไปเกิดในครรภ์ของพระแม่อุมา ที่ออกมาเป็นชายรูปงามนามว่า วิกาเนะชา ซึ่งมีหน้าที่ขัดขวางมารร้ายและอธรรมไม่ควรสังเวยพรของพระศิวะรวมทั้งเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เทพเจ้าและคนดีในการทำสิ่งใดให้ประสบผลสำเร็จ ดังนั้น ชื่อ Vignesuan ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของพระพิฆเนศหมายถึงผู้นำสูงสุดในปัญหา จึงมาจากมายาคตินี้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความชั่ว แต่ส่งเสริมคนดีให้ประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆ

สำหรับสองตำนานแรก คุณจะเห็นต้นกำเนิดของพระพิฆเนศที่จะบอกคุณว่าทำไมเขาถึงมีหัวช้าง แต่ตำนานที่สามไม่บอก ไม่ชัดเจนว่านี่เป็นตำนานที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่ โดยมีเรื่องราวเบื้องหลังว่า เมื่อพระพิฆเนศอายุมากพอที่จะประกอบพิธีโสกันต์ (เขย่า) พระอิศวรได้ส่งเทพไปเชิญพระวิษณุหรือพระนารายณ์ที่กำลังหลับใหลอยู่ในมหาสมุทรหรือทะเลนมให้เข้าร่วมพิธี ปรากฎว่าฉันนอนหลับสนิท เมื่อเขาตื่นขึ้นเขาจะเศร้า เขาก็เลยเปิดปากพูดคำว่า “ไอ้บ้าเอ๊ย หลงทาง วุ่นวายจริงๆ” ด้วยวาจาที่ถูกต้อง ส่งผลให้พระเศียรพระคเณศหลุดกระทันหัน พระศิวะควรอุทิศตนเพื่อเทพเพื่อค้นหาหัวของมนุษย์ที่เสียชีวิต แต่ดูเหมือนวันนั้นจะไม่มีใครตาย ทางทิศตะวันตกมีเพียงช้างตายตัวหนึ่ง เทวดาจึงต้องตัดหัวช้างถวายพระพิฆเนศแทน ดังนั้นเขาจึงมีหัวช้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และบางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้คนโบราณจึงห้ามไม่ให้เขานอนโดยหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก เพราะมันจะทำให้โชคร้าย แต่บางคนก็บอกว่าอยู่ทางเหนือ นี้เป็นความสิ้นศรัทธา

บทความที่เกี่ยวข้อง